เรื่องเล่ากะเหรี่ยง/zLyHpAifgzksfC6f];f5jif/

ปลูกป่า

ป่าในความคิดของคนแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน
     ในทัศนะนักวิชาการทางการเกษตร ป่าอาจหมายถึง ความหลากหลายทางพันธุกรรม ประกอบด้วยพืช และสัตว์นานาชนิด
     ในทัศนะนักอนุรักษ์ ป่าอาจหมายถึง สถานที่ไร้ผู้คน มีเพียงพืชและสัตว์เป็นอยู่ตามธรรมชาติ
     ในทัศนะพ่อค้า ป่าอาจหมายถึง วัตถุดิบที่เป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจ มีต้นไม้ใหญ่จำนวนมาก ที่ควรนำมาใช้ให้เกิดคุณค่าทางเศรษฐกิจ
     กับชาวกะเหรี่ยงที่อยู่กับป่าแล้ว ป่าคือบ้านคือสิ่งที่ชาวกะเหรี่ยงต้องอยู่ร่วมด้วยตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ตั้งแต่บรรพบุรุษถึงชนรุ่นหลัง
     หากไม่อยู่กับป่าก็ไม่ใช่กะเหรี่ยง
     คนส่วนมากชอบธรรมชาติ เห็นว่าธรรมชาติเป็นสิ่งที่ดี ที่เหมาะสมและควรแก่การดำรงชีพ
     ธรรมชาติคือความบริสุทธิ์ ความงดงามและความสุข ที่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเสริมแต่ง
     ป่าคือธรรมชาติที่บริสุทธิ์สมบูรณ์งดงาม หลายคนชอบป่า ชอบธรรมชาติ ชอบที่จะดู ชอบที่จะเที่ยว หรือชอบที่จะไปอยู่เป็นครั้งคราว
     น้อยคนที่เห็นป่าเป็นบ้าน เห็นธรรมชาติเป็นที่อยู่อาศัย
     เห็นว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ที่ควรอยู่ร่วมกับธรรมชาติ คืออยู่ร่วมกับป่า
     คนส่วนมากแม้รักธรรมชาติ รักป่า แต่ความเป็นอยู่กลับห่างไกลจากธรรมชาติ และป่า ทั้งไม่อาจอยู่ร่วมกับป่าได้
     มีความเชื่อที่ไม่ถูกต้องนัก โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่เห็นว่าคนกับป่าอยู่ร่วมกันไม่ได้ หากอยู่ร่วมกันคนต้องทำลายป่า
     ดังนั้นจึงมีกฎหมายกำหนดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่า เขตอุทยานแห่งชาติ ที่ห้ามผู้คนเข้าก่อนได้รับอนุญาต และห้ามไม่ให้ใครอาศัยอยู่ในเขตป่า
     เป็นความพยายามแบ่งแยกมนุษย์ออกจากธรรมชาติ
     "เป็นกะเหรี่ยงต้องอยู่กับป่า" ลุงตาฉี้บอกและกล่าวต่อว่า "เราอยู่กันมาเป็นร้อยเป็นพันปี ป่ารอบ ๆ หมู่บ้านของเราก็สมบูรณ์ สัตว์ป่าก็ยังมีอยู่ เราอยู่กันอย่างธรรมชาติ แล้วจะไปทำลายธรรมชาติได้อย่างไร"
     "ถ้ามาอยู่กับธรรมชาติก็จะเข้าใจธรรมชาติ" ครูโจ่เสริม "คนที่ไม่เข้าใจธรรมชาติ จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติไม่ได้ เพราะมีแต่ทำลายธรรมชาติ พวกที่อยู่ในเมืองย่อมไม่รู้หรอกว่า กะเหรี่ยงอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างไร"
     ผู้ที่อยู่กับป่าจะเข้าใจธรรมชาติในป่า
     เสียงนกแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน
     นกชนิดเดียวกันที่เป็นตัวผู้กับตัวเมีย เสียงก็ไม่เหมือนกัน นกตัวเดียวกันร้องในแต่ละเหตุการณ์ก็ไม่เหมือนกัน
     ต้นไม้บางต้นตัดไม่ได้เลย เพราะเป็นต้นไม้อุ้มน้ำ ช่วยรักษาธารน้ำ กอไผ่หนึ่งกอ อาจตัดได้ไม่กี่ลำ หรือทั้งกอยังไม่มีลำที่ควรตัดเลย
      เพราะใช้และอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเข้าใจ ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติยังคงอุดมสมบูรณ์จนปัจจุบัน
      กะเหรี่ยงไม่เคยปลูกป่า แต่มีป่าอยู่รอบหมู่บ้าน แม้ในหมู่บ้านก็ไม่แตกต่างจากป่าเท่าใดนัก
     พื้นดินว่างเปล่านั้น หากปล่อยไว้โดยไม่จัดการอย่างใด ไม่นานหญ้าจะขึ้น ดินเริ่มปรับปรุงคุณภาพ นก และสัตว์ต่าง ๆ นำเมล็ดพันธุ์พืชมาปลูกเองตามธรรมชาติ ธรรมชาติจะคัดต้นที่สมบูรณ์แข็งแรงให้เติบโต ไม่กี่ปีจะกลายเป็นป่า ที่หลากหลายพืชพรรณและสัตว์นานาชนิด ไม่ต้องปลูก ไม่ต้องรดน้ำ ไม่ต้องดูแล ก็สามารถเกิดป่าสมบูรณ์ได้ ในระยะเวลาไม่กี่ปี ขอเพียงมนุษย์อย่าเข้าไปจัดการ
     มาดูการปลูกป่าของคนเมืองบ้าง
     มีธุรกิจการขายพันธุ์กล้าไม้ ยิ่งหากเป็นกล้าไม้ยูคาลิปตัสด้วยแล้ว เป็นธุรกิจข้ามชาติ
     พื้นที่จะปลูกต้องมีการเตรียมโดยปรับไถให้เรียบ ไม่ให้มีต้นไม้อื่นขึ้นมา เพราะหากมีต้นไม้อื่นอยู่ก่อนแล้วปลูกต้นไม้ใหม่แซม ต้นไม้เก่าจะแย่งอาหาร น้ำ แสงแดด และบดบังกล้าไม้ใหม่ไม่ให้เจริญเติบโต จึงตัดตัดไม้เก่าออกทั้งหมด แล้วปลูกไม้ใหม่ไม่กี่ชนิดหรือเพียงชนิดเดียวแทน
     เมื่อปลูกเสร็จก็มีโครงการต่อเนื่อง ดูแลบ้าง ไม่ดูแลบ้าง หากตายไปก็ไม่เป็นไร เพราะปีหน้าหางบประมาณมาปลูกกันใหม่อีก ทุกขั้นตอนใช้เงินจำนวนไม่น้อย และไม่เคยได้ป่าที่อุดมสมบูรณ์ จากการปลูกโดยมนุษย์เลย สักป่าเดียว
     ก่อนถึงการปลูกป่า เริ่มจากการมีป่าที่อุดมสมบูรณ์ ต่อมามีการตัดไม้ใหญ่เพื่อแปรรูป แล้วตัดไม้เล็กทำถ่านปล่อยชาวบ้านบุกรุกทำการเกษตรถึงตอนนี้ก็เรียกว่า "ป่าเสื่อมโทรม" ที่ใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจแทบไม่ได้แล้ว จึงเริ่มโครงการปลูกป่าก่อนปลูกจะจัดเก็บต้นไม้ที่ยังเหลือให้หมด แล้วจึงปลูกต้นไม้
     ปลูกเสร็จต้องมีงบดูแลรักษาและปลูกทดแทนต้นที่ตายไป โครงการปลูกป่ามีมากมาย แต่โครงการดูแลรักษาป่าไม่ค่อยมีใครพูดถึง
      งบประมาณปลูกป่ามากมาย ขณะที่งบประมาณในการดูแลรักษาป่าเดิมมีเพียงน้อยนิด
     เราจะปลูกป่าด้วยอะไร?
     ด้วยเงินทอง ด้วยคนมากมาย ด้วยโครงการใหญ่โต และด้วยจิตใจแห้งแล้ง หวังแต่กอบโกยด้วยผลประโยชน์ ดังนี้ คงหวังที่จะได้ป่าขึ้นมาเป็นจริงเป็นจังได้ยาก
     เพราะชีวิตแห่งวัตถุนิยมและบริโภคนิยมนั้นห่างไกลจากธรรมชาติ ย่อมไม่อาจเข้าใจและอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้
     ธรรมชาติคือป่า คือการดำรงอยู่มาแต่เดิมเป็นธรรมะที่ไม่แปรเปลี่ยน ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องปรุงแต่ง ไม่ต้องดัดแปลง เพียงปล่อยวางแล้วเฝ้าดูด้วยจิตสะอาดบริสุทธิ์
      ธรรมะจะเผยตัวเป็นธรรมชาติอันสมบูรณ์
      ปลูกป่า ปลูกธรรมชาติภายในจิตใจของผู้คน แล้วจะเข้าใจธรรมชาติที่ปลูกป่าอยู่เป็นปกติ

ที่มา :
https://www.karencenter.com/showdet-know.php?type=a2&id=4

เอกสารเพิ่มเติม : ดาวน์โหลด (4 kb)

เขียนเมื่อ 25 สิงหาคม 2553 | อ่าน 2196
เขียนโดย เจ้าหน้าที่ดูแลระบบ KARENTHAI.COM